ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
อาณาจักรอยุธยามักส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีนเป็นประจำทุกสามปี
เครื่องบรรณาการนี้เรียกว่า "จิ้มก้อง"
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าการส่งเครื่องราชบรรณาการดังกล่าวแฝงจุดประสงค์ทางธุรกิจไว้ด้วย
คือ
เมื่ออาณาจักรอยุธยาได้ส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายแล้วก็จะได้เครื่องราชบรรณาการกลับมาเป็นมูลค่าสองเท่า ทั้งยังเป็นธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง
จึงมักจะมีขุนนางและพ่อค้าเดินทางไปพร้อมกับการนำเครื่องราชบรรณาการไปถวายด้วย
พ.ศ. 2054 ทันทีหลังจากที่ยึดครองมะละกา
โปรตุเกสได้ส่งผู้แทนทางการทูต นำโดย ดูอาร์เต เฟอร์นันเดส (Duarte
Fernandes) มายังราชสำนักสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
หลังได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างราชอาณาจักรโปรตุเกสและราชอาณาจักรอยุธยาแล้ว
ผู้แทนทางการทูตโปรตุเกสก็ได้กลับประเทศแม่ไปพร้อมกับผู้แทนทางทูตของอยุธยา
ซึ่งมีของกำนัลและพระราชสาส์นถึงพระเจ้าโปรตุเกสด้วย ผู้แทนทางการทูตโปรตุเกสชุดนี้อาจเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยก็เป็นได้
ห้าปีให้หลังการติดต่อครั้งแรก
ทั้งสองได้บรรลุสนธิสัญญาซึ่งอนุญาตให้โปรตุเกสเข้ามาค้าขายในราชอาณาจักรอยุธยา
สนธิสัญญาที่คล้ายกันใน พ.ศ. 2135 ได้ให้พวกดัตช์มีฐานะเอกสิทธิ์ในการค้าข้าว
ชาวต่างชาติได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่ราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ผู้ทรงมีทัศนะสากลนิยม (cosmopolitan) และทรงตระหนักถึงอิทธิพลจากภายนอก
ได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ที่สำคัญกับญี่ปุ่น
บริษัทการค้าของดัตช์และอังกฤษได้รับอนุญาตให้จัดตั้งโรงงาน
และมีการส่งคณะผู้แทนทางการทูตของอยุธยาไปยังกรุงปารีสและกรุงเฮก
ด้วยการธำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้
ราชสำนักอยุธยาได้ใช้ดัตช์คานอำนาจกับอังกฤษและฝรั่งเศสอย่างชำนาญ
ทำให้สามารถเลี่ยงมิให้ชาติใดชาติหนึ่งเข้ามามีอิทธิพลมากเกินไป
อย่างไรก็ดี ใน พ.ศ. 2207
ดัตช์ใช้กำลังบังคับเพื่อให้ได้สนธิสัญญาที่ให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขต
เช่นเดียวกับการเข้าถึงการค้าอย่างเสรี คอนสแตนติน ฟอลคอน
นักผจญภัยชาวกรีกผู้เข้ามาเป็นเสนาบดีต่างประเทศในราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
กราบทูลให้พระองค์หันไปพึ่งความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส
วิศวกรฝรั่งเศสก่อสร้างป้อมค่ายแก่คนไทย และสร้างพระราชวังแห่งใหม่ที่ลพบุรี
นอกเหนือจากนี้ มิชชันนารีชาวฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทในการศึกษาและการแพทย์
ตลอดจนนำแท่นพิมพ์เครื่องแรกเข้ามาในราชอาณาจักรด้วย พระเจ้าหลุยส์ที่ 16
ทรงสนพระราชหฤทัยในรายงานจากมิชชันนารีที่เสนอว่า สมเด็จพระนารายณ์อาจเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ได้
อาณาจักรอยุธยามีความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกในด้านการค้าขายและการเผยแผ่ศาสนา
โดยชาวตะวันตกได้นำเอาวิทยาการใหม่ ๆ เข้ามาด้วย ต่อมา คอนสแตนติน
ฟอลคอนได้เข้ามามีอิทธิพลและยัง บรรดาขุนนางจึงประหารฟอลคอนเสีย
และลดระดับความสำคัญกับชาติตะวันตกตลอดช่วงเวลาที่เหลือของอาณาจักรอยุธยา
อย่างไรก็ดี
การเข้ามาของฝรั่งเศสกระตุ้นให้เกิดความแค้นและความหวาดระแวงแก่หมู่ชนชั้นสูงของไทยและนักบวชในศาสนาพุทธ
ทั้งมีหลักฐานว่าคบคิดกับฝรั่งเศสจะยึดกรุงศรีอยุธยา เมื่อข่าวสมเด็จพระนารายณ์กำลังจะเสด็จสวรรคตแพร่ออกไป
พระเพทราชา ผู้สำเร็จราชการ ก็ได้สังหารรัชทายาทที่ทรงได้รับแต่งตั้ง
คริสเตียนคนหนึ่ง และสั่งประหารชีวิตฟอลคอน และมิชชันนารีอีกจำนวนหนึ่ง
การมาถึงของเรือรบอังกฤษยิ่งยั่วยุให้เกิดการสังหารหมู่ชาวยุโรปมากขึ้นไปอีก
พระเพทราชาเมื่อปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว
ทรงขับชาวต่างชาติออกจากราชอาณาจักร รายงานการศึกษาบางส่วนระบุว่า
อยุธยาเริ่มต้นสมัยแห่งการตีตัวออกห่างพ่อค้ายุโรป ขณะที่ต้อนรับวาณิชจีนมากขึ้น
แต่ในการศึกษาปัจจุบันอื่น ๆ เสนอว่า
สงครามและความขัดแย้งในยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นเหตุให้พ่อค้ายุโรปลดกิจกรรมในทางตะวันออก
อย่างไรก็ดี เป็นที่ประจักษ์ว่า
บริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ยังทำธุรกิจกับอยุธยาอยู่
แม้จะประสบกับความยากลำบากทางการเมือง
ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
ความสัมพันธ์กับสุโขทัยและล้านนา
ความสัมพันธ์ที่อยุธยามีต่อสุโขทัยและล้านนา ซึ่งเป็นอาณาจักรคนไทยด้วยกัน
ขึ้นอยู่กับนโยบายและพระปรีชาสามารถของกษัตริย์แต่ละรัชกาลเป็นสำคัญ
ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1
(ขุนหลวงพะงั่ว)
ทรงมีนโยบายที่จะรวบรวมอาณาจักรสุโขทัยให้อยู่ในอำนาจอยุธยาให้จงได้ จึงยกทัพไปรุกรานสุโขทัยถึง 5
ครั้ง เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 1914 เป็นต้นมา ในทีสุดก็ดีเมืองชากังราวของสุโขทัยได้สำเร็จใน
พ.ศ. 1921
เป็นผลให้สุโขทัยตกเป็นประเทศราชของอยุธยาอยู่ 10 ปี
พ.ศ. 1962
สุโขทัยเกิดจลาจลชิงราชสมบัติกัน
สมเด็จพระอินทราชา (เจ้านครอินทร์)
แห่งกรุงศรีอยุธยา
เสด็จไประงับการจลาจล
และได้ทรงขอพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสยลือไทย) อภิเษกสมรสกับเจ้าสามพระยา พระราชโอรสของพระองค์
นับเป็นครั้งแรกที่มีการสร้างเครือญาติโดยการอภิเษกสมรสในระหว่างราชวงศ์ของทั้งสองอาณาจักร จนถึงสิ้นรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ 4
(บรมปาล) ของสุโขทัย สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) จึงส่งให้พระราเมศวรพระราชโอรส
ซี่งมีพระราชชนนีเป็นพระราชธิดาพระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสยลือไทย)
แห่งกรุงสุโขทัยขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก
เมื่อ พ.ศ. 1981
และผนวกสุโขทัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สำหรับล้านนา (เชียงใหม่)
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1
(ขุนหลวงพะงั่ว)
ยกทัพไปตีเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1921
แต่ไม่สำเร็จ จนถึง พ.ศ. 1935 ในรัชสมัยสมเด็จพระราเมศวร จึงสามารถตีล้านนาได้
ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
อยุธยากับล้านนาทำสงครามกันหลายครั้ง
แต่ไม่แพ้ชนะกันโดยเด็ดขาด ต่อมาใน
พ.ศ. 2065
ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐาธิราช)
อยุธยาได้ขอทำไมตรีกับล้านนา
ครั้นถึงสมัยพระไชยราชาธิราช
ล้านนาตกเป็นประเทศราชของอยุธยา
ระยะนี้ไทยเริ่มทำสงครามกับพม่า
อันเป็นสงครามที่ยึดเยื้อต่อมาถึง 300 ปี และเนื่องจากล้านนาอยู่กึ่งกลางระหว่างอยุธยากับพม่าประกอบกับล้านนาไม่มีกำลังพอที่จะรักษาเอกราชของตนไว้ได้
จึงตกเป็นเมืองขึ้นของไทยและพม่าสลับกันไปมาสุดแต่ว่าฝ่ายใดจะมีอำนาจขึ้น
ครั้งสุดท้ายพม่าตีล้านนาได้ใน พ.ศ. 2306
และใช้เป็นฐานกำลังยกมาตีกรุงศรีอยุธยา ทำให้ไทยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่
2 ใน พ.ศ. 2310
ความสัมพันธ์กับจีน
ไทยมีความสัมพันธ์กับจีนมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เมื่อสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง
พระมหากษัตริย์และเจ้านายสมัยอยุธยาได้เจริญไมตรีกับจีนสืบต่อมา นโยบายการเมืองระหว่างประเทศทีอยุธยามีต่อจีนนั้นมีลักษณะในทางให้จีนยอมรับสถานภาพโดยการส่งเครื่องบรรณาการเพื่อเป็นเกราะป้องกันภัย และประโยชน์ทางการค้า
เนื่องด้วยจีนไม่ยอมติดต่อค้าขายกับประเทศที่ไม่ยอมอ่อนน้อมต่อจีน
เมื่อทูตของประเทศที่จีนถือว่าอยู่ในอารักขาไปติดต่อด้วย จะได้รับการต้องรับและได้สิทธิทางการค้า และเมื่อมีปัญหาทางการเมืองก็พึ่งจีนได้ด้วย
ความสัมพันธ์กับเขมร
เมื่อพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี เป็นช่วงที่เขมร (ขอม)
เสื่อมอำนาจแล้วระยะแรกเขมรและกรุงศรีอยุธยาเป็นไมตรีกัน ต่อมาเขมรตัดไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาหันไปมีไมตรีกับสุโขทัยแทน
พระเจ้าอู่ทองเห็นว่า ขอมแปรพักตร์ จึงโปรดยกกองทัพไปตีจนเป็นผลสำเร็จใน พ.ศ.
1896 เขมรจึงตกเป็นประเทศของไทยตั้งแต่ครั้งนั้น แต่ฐานะประเทศของเขมรไม่เป็นการถาวร
เพราะเขมรพยายามตั้งตนเป็นอิสระอยู่เนืองๆ ไทยต้องยกทัพไปปราบปรามเขมรหลายครั้ง
ความสัมพันธ์กับลาว
ความสัมพันธ์ระเหว่างอาณาจักรอยุธยากับกรุงศรีสัตนาคนหุตหรือล้านช้างของลาวนั้น
กล่าวได้ว่ามีไมตรีที่ดีต่อกันมาตั้งแต่เริ่มสร้างกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 1891
ต่อมาอาณาจักรอยุธยามีอำนาจเข้มแข็งขึ้น
เมืองต่างๆ ที่เคยขึ้นกับพม่า
เช่น มอญ ลาว
เป็นต้น ต่างมาอ่อนน้อมขอเป็นประเทศราชของอาณาจักรอยุธยา
โดยทีกรุงศรีอยุธยาไม่ต้องส่งกองทัพเข้ารบพุ่งหรือบีบบังคับแต่อย่างใด
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวจึงเป็นไปแบบเป็นเมืองพี่เมืองน้องกันมาตลอด
(ความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกันยืนยงมาจนกระทั่งถึงต้นรัชกาลที่ 3
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอนุวงศ์ตั้งตนเป็นอิสระแต่ทำการไม่สำเร็จ
ลาวจึงอยู่ในฐานะเป็นประเทศราชของไทยมาจนถึงสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ลาวจึงตกไปเป็นของฝรั่งเศส)
ความสัมพันธ์กับพม่า
เดิมพม่ามิได้มีอาณาเขตติดต่อกับอาณาจักรอยุธยา เพราะมีประเทศมอญขวางอยู่ และทางเหนือก็มีล้านนากั้นอยู่ พม่านั้นมีที่ตั้งลึกเข้าไปในแผ่นดิน ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศไม่สะดวก
และผืนดินไม่สมบูรณ์จึงพยายามขยายอาณาเขตมายังดินแดนมอญ เพราะเป็นประเทศอุดมสมบูรณ์อยู่ติดทะเล ไปมาค้าขายกับนานาประเทศได้สะดวก
สงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับพม่าครั้งแรกเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้
กับ สมเด็จพระไชยราชาธิราช สมัยนั้นกรุงศรีอยุธยามีอำนาจครอบคลุมไปถึงหัวเมืองมอญบางแห่งด้วย เมื่อพระเจ้าตะเบ็งซะเวตี้กษัตริย์พม่าตีกรุงหงสาวดีเมืองหลวงของมอญได้ใน
พ.ศ. 2082 ชาวมอญจำนวนมากอพยพหนีมายังเมืองเชียงกรานเมืองประเทศราชของไทย
พม่าจึงถือเอาเป็นสาเหตุเข้าตีเมืองเมืองเชียงกราน
สมเด็จพระไชยราชาธิราชกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเป็นฝ่ายยกไปตีคืนสำเร็จ
แต่การที่พม่าได้หัวเมืองมอญไว้ในอำนาจก็ทำให้พม่ามีเขตแดนติดต่อกับอาณาจักรอยุธยา และเกิดการประจันหน้ากันแต่บัดนั้นมา
การสงครามระหว่างพม่ากับกรุงศรีอยุธยาแทบทุกครั้งเกิดจากการรุกรานของพม่า ตลอดสมัยอยุธยามีการทำสงครามกับพม่า 24
ครั้ง
กรุงศรีอยุธยาเป็นฝ่ายถูกรุกรานแทบทุกครั้ง มีเพียง
3 ครั้ง
เท่านั้นที่กรุงศรีอยุธยาเป็นฝ่ายยกไปตีพม่า คือ
ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกทัพไปตีกรุงหงสาวดี 2
ครั้ง เมื่อ พ.ศ. 2138 และ พ.ศ. 2142
และในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชอีก
1 ครั้ง เมื่อ พ.ศ. 2207
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น